วันที่ 22 พฤษภาคม 2565 เวลา 14.30 น.
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค(Ministers Responsible for Trade Meeting: MRT) พร้อมด้วยนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ นายธานี ทองภักดี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ห้อง Convention B2 ชั้น 22 โรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมการประชุมเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพตลอด 2 วันที่ผ่านมารวมทั้งวันนี้ ในฐานะประธานในที่ประชุม ตนได้แสดงความชื่นชมกับรัฐมนตรีการค้าเอเปคจากทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจ รวมทั้งสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคหรือที่เรียกว่า ABAC (สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค) และผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปคในการผลักดันและกำหนดทิศทางผ่านการแสดงวิสัยทัศน์และมุมมองที่หลากหลายในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพื่อฝ่าวิกฤต โควิด-19 ไปด้วยกัน รวมทั้งการส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามหัวข้อหลักของการประชุมเอเปคประจำปี 2022 ที่ประเทศไทยกำหนดขึ้น ภายใต้วิสัยทัศน์ “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์เชื่อมโยงกันสู่สมดุล” หรือ “Open. Connect. Balance”
อย่างไรก็ตามผลการประชุมเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพวันนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเพราะหัวข้อหลักที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเจ้าภาพกำหนดไว้ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “Open. Connect. Balance”เป็นไปตามเป้าหมายและบรรลุผลเป็นรูปธรรมทั้งจากความเห็นของที่ประชุมและที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ในเรื่องของ Open คือการเปิดกว้างและเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกัน ผลรูปธรรมที่ทุกเขตเศรษฐกิจเห็นร่วมกันคือการที่เราจะนำเอเปค ไปสู่การจัดทำ FTAAP (Free Trade Area of the Asia-Pacific)
ให้เกิดขึ้นในอนาคต สำหรับเรื่อง Connect หรือการเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจทั้งในส่วนของบุคคลหรือสินค้าและบริการ ได้มีการตั้งคณะทำงานที่เรียกว่า APEC Safe Passage Task Force เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไปให้เกิดผลเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และส่วนคำว่า Balance หรือสร้างสมดุล มีความเห็นที่ตรงกันในทุกเขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมประชุมให้มุ่งเน้นการสร้างสมดุลในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงานและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายทุกระดับ ตั้งแต่คนตัวใหญ่จนกระทั่งถึงคนตัวเล็ก ในระดับ SMEs และMicro-SMEs เแรงงาน ผู้ด้อยโอกาส กลุ่มเปราะบาง สตรีและอื่นๆ
นอกจากนั้นสัญญาณอีกข้อที่สะท้อนความสำเร็จของประเทศไทยคือการที่ทุกเขตเศรษฐกิจได้ยอมรับและสนับสนุน BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ของไทย ให้เป็นวิสัยทัศน์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของกลุ่มเขตเศรษฐกิจเอเปคในอนาคต
การประชุมครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ ที่ประชุมไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมของการประชุมเอเปคได้เช่นเดียวกับบางครั้งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้จะมีผลลัพธ์ในรูปถ้อยแถลงหรือแถลงการณ์ของประธานการประชุมเอเปค คือประเทศไทย
ในรูป Chair Statement แทน ซึ่งได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการยกร่าง เชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมามีส่วนร่วมในการยกร่างและจะประกาศเป็นทางการในรูปเอกสารต่อไป
ถึงแม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วม แต่ตนถือว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จและประเทศไทยเคารพความเห็นของทุกเขตเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศไทยยังพร้อมทำงานร่วมกับเอเปคอย่างเข้มแข็งต่อไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดตั้ง FTAAP การสนับสนุนการค้าในรูปแบบพหุภาคีรวมทั้ง WTO และการจับมือเดินไปด้วยกันอยู่ร่วมกันกับโควิดและอนาคตต่อไป
ซึ่งแถลงการณ์ร่วมจะเกิดขึ้นได้เมื่อทั้ง 21 เขตเศรษฐกิจมีความเห็นตรงกันทั้งหมดที่เรียกว่าเป็นฉันทามติ ถ้ามีแม้เขตเศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหนึ่งเห็นไม่สอดคล้องก็ไม่สามารถประกาศได้ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าเนื่องจากมีความเห็นไม่สอดคล้องกันในเรื่องสถานการณ์โลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทุกเขตเศรษฐกิจเห็นพ้องกันในการให้มีแถลงการณ์ร่วม เพียงแต่มีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่เห็นไม่สอดคล้องกัน บางเขตเศรษฐกิจเห็นไม่ตรงกัน เป็นที่มาที่ทำให้ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้
นายจุรินทร์ กล่าวว่าการประชุมเอเปคในช่วงเช้าวันนี้ มีหัวข้อสำคัญคือการหาข้อสรุปร่วมกันในการอยู่ร่วมกับโควิด-19 ร่วมกับอนาคต ซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญหัวข้อหนึ่งในการประชุมเอเปคครั้งนี้ ได้ข้อสรุปจากความเห็นของรัฐมนตรีฯและผู้แทนเขตเศรษฐกิจการค้าทาง 21 เขต แบ่งเป็น 7 ประเด็นหลัก
ประเด็นที่หนึ่ง ได้มีข้อเสนอในเรื่องการเคลื่อนย้ายบุคคลข้ามพรมแดนควรมีการอำนวยความสะดวกเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะการมุ่งเน้นการเดินทางที่ปลอดภัย และการใช้ระบบที่รองรับการเดินทางติดต่อระหว่างกันให้มีความสะดวกยิ่งขึ้น
ประเด็นที่สอง ที่ประชุมมีความเห็นเรื่องการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานกับระบบโลจิสติกส์ ซึ่งหลายประเทศมีปัญหาในเรื่องการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบมาใช้เพื่อการผลิตและวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้น ควรมีการอำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้ด้วยระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพระหว่างกันซึ่งเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนและธุรกิจต้องการเป็นพิเศษ
ประเด็นที่สาม หลายเขตเศรษฐกิจมีข้อเสนอการสนับสนุนให้มีการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะแหล่งทุนห่วงโซ่อุปทาน สำหรับทุกภาคส่วนการผลิตและภาคส่วนเศรษฐกิจโดยเฉพาะสำหรับ SMEs และ Micro SMEs กลุ่มเปราะบาง สตรี ผู้ด้อยโอกาส แรงงานและผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น
ประเด็นที่สี่ หลายประเทศมีความเห็นว่าจุดยืนด้านมนุษยธรรมเพื่ออนาคต รวมทั้งสุขภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงมุ่งเน้นการเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงวัคซีนให้มากที่สุดรวมถึงดูแลและป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต
ประเด็นที่ห้า จะต้องจับมือกันในการมุ่งขจัดอุปสรรคทางการค้าและเปิดกว้างอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน มุ่งเน้นการสร้างกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการในเวทีสากลทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันและหลังโควิด โดยใช้เศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นอีคอมเมิร์ซหรือรูปแบบอื่นๆให้เป็นประโยชน์และเข้ามามีบทบาทให้มากขึ้น
ประเด็นที่หก การมุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทุกเขตเศรษฐกิจสนับสนุนการนำ BCG Model มาใช้ รวมถึงการใช้ใน MSMEs ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการรวมทั้งการมุ่งเน้นในเรื่องสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานทางเลือกการใช้ ไฮโดรเจนเป็นต้น รวมทั้งการสนับสนุนส่งเสริมการเปิดตลาดพลังงานสะอาดต่อไป
และมีเขตเศรษฐกิจหนึ่งให้ความเห็นว่าการปรับปรุงสภาพอากาศไม่มีใครทำคนเดียวได้แต่ต้องร่วมมือกันภายใต้เอเปคและภายใต้ OECD(องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ) และ WTO ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปล่อยคาร์บอน การลดการอุดหนุนพลังงานดั้งเดิมหรือรูปแบบอื่นใด
และสุดท้ายมีการพูดกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงานในกลุ่มประเทศเอเปคเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประเด็นความเห็นที่เป็นข้อสรุปจากการหารือกันในหัวข้อการอยู่ร่วมกับ โควิด-19 และอนาคตในการประชุมช่วงเช้า