นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พบหารือเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ในโอกาสที่เอกอัครราชทูตเข้าเยี่ยมคารวะเพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่ โดยทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุน รวมทั้งเร่งรัดการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป (อียู)
นายจตุพร เปิดเผยว่า ตนได้พบหารือกับนายเดวิด เดลี เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมด้วย ซึ่งตนได้ขอบคุณนายเดวิดฯ ต่อความร่วมมือที่ผ่านมาในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยและอียู รวมทั้งการฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะจากสถานการณ์การค้าโลกในปัจจุบัน ซึ่งทำให้การมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้และมีความแน่นอนเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งนี้ ตนได้เน้นย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การเจรจาบรรลุผลโดยเร็ว
นายจตุพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือประเด็นสำคัญอื่น ๆ เช่น ความร่วมมือเกี่ยวกับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ข้อกังวลของอียูต่อกระบวนการพิจารณารับรองและอนุญาตการนำเข้าสินค้าเกษตรและปศุสัตว์ของไทย และการปรับปรุงกฎหมายด้านประมงของไทย โดยไทยพร้อมร่วมมือกับฝ่ายอียูเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ยั่งยืนร่วมกันของทุกฝ่าย
ปัจจุบัน อียูเป็นคู่ค้าอันดับที่ 4 ของไทย รองจาก จีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568(ม.ค. - มิ.ย.) การค้าระหว่างไทย-EU มีมูลค่ารวม 21,854.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.14เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปยัง EU มูลค่ารวม 12,882.41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และนำเข้าจาก EU รวมทั้งสิ้น 8,972.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.71 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 3,909.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปอียู เช่น คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์ยาง และรถยนต์ ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญจากอียู เช่น เครื่องจักรกล เวชภัณฑ์ เครื่องบินและอุปกรณ์ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้า