

ที่ผ่านมา พื้นที่ปลูกข้าวโพดในประเทศไทยเคยขยายขึ้นสูงสุดถึงกว่า 12 ล้านไร่ในปี 2528 ก่อนจะลดลงเหลือ 6.3 ล้านไร่ในปี 2550 และทรงตัวอยู่ระหว่าง 6–7 ล้านไร่จนถึงปัจจุบัน เมื่อเทียบกับพืชเศรษฐกิจอื่น เช่น อ้อยและมันสำปะหลัง ที่พื้นที่เพาะปลูกยังคงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาด ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึง ข้อจำกัดของการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดในประเทศ
พื้นที่ปลูกข้าวโพดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ไม่เหมาะสมทางการเกษตร โดยเฉพาะในภาคเหนือและพื้นที่ตามแนวชายแดนเมียนมา–ลาว ซึ่งเป็น ป่าต้นน้ำและพื้นที่ลาดชัน เสี่ยงต่อการพังทลายของดิน เกษตรกรจำนวนมากยังคงใช้ วิธีเผาตอซังหลังเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมปลูกรุ่นใหม่ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและต้นทุนต่ำ แต่กลับสร้าง ปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 ที่ลุกลามทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน กระทบต่อสุขภาพประชาชน และอาจกลายเป็น ประเด็นด้านการค้าระหว่างประเทศในอนาคต
แม้ผู้ซื้อบางรายจะเริ่ม งดรับซื้อข้าวโพดที่มีร่องรอยการเผาในประเทศ แล้วก็ตาม แต่ข้าวโพดที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านก็ยังมีความเสี่ยงสูงว่า มาจากแหล่งปลูกที่ใช้วิธีการเผา เช่นเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้ปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนยังคงอยู่
ปัญหาฝุ่นพิษและ PM2.5 ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตปลูก แต่พัดข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย รัฐบาลจึงเริ่มขยับด้วยมาตรการสำคัญ โดย ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ จะบังคับใช้ มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา
สาระสำคัญของมาตรการนี้ คือ
ผู้นำเข้าต้องต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมการค้าต่างประเทศ
ทุกการนำเข้าต้องมี หนังสือรับรองว่าข้าวโพดนั้นมีกระบวนการผลิตที่ปลอดการเผาไปแสดงกับกรมศุลกากรขาเข้า
สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแปลงเพาะปลูก
ช่วงแรก (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) ให้ผู้นำเข้ารับรองตนเองหรือใช้เอกสารจากหน่วยงานที่ประเทศผู้ส่งออก/องค์กรสากล ให้การยอมรับ ก่อนจะเข้มงวดมากขึ้นหลัง พ.ร.บ. บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดและกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องมีผลบังคับใช้
มาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ไทยนำ มิติสิ่งแวดล้อมมาผูกกับการค้าสินค้าเกษตร อย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายชัดเจนในการลดการเผาไร่ ลดฝุ่นพิษ และสร้างมาตรฐานการค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คือวัตถุดิบสำคัญของอาหารสัตว์ ไทยยังคงต้องนำเข้าปีละกว่า 1.3–2 ล้านตัน แต่ด้วยมาตรการใหม่นี้ เรากำลังวางรากฐานให้การนำเข้าข้าวโพด ไม่ใช่แค่เพื่อตอบโจทย์ปริมาณ แต่ต้องไม่สร้างต้นทุนด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้กับคนไทยทั้งประเทศ
นโยบาย “คุมนำเข้าข้าวโพดปลอดการเผา” จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่สะท้อนว่าการค้าเกษตรในอนาคต ไม่ได้วัดกันแค่ตัวเลขผลผลิต แต่ต้องนับรวมถึงคุณภาพชีวิตผู้คนและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมด้วย