
หากพูดถึงผลไม้ที่ครองใจผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลไม้เจ้าของฉายา “ราชาแห่งผลไม้” อย่าง ทุเรียน คือผลไม้ที่ถูกกล่าวถึงอย่างภาคภูมิ และในปี 2568 (มกราคม - กันยายน 2568) ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด สินค้า GI จากจังหวัดตราด สามารถโกยรายได้ทะลุ หมื่นล้านบาท และครองตำแหน่งแชมป์ สินค้า GI ที่ทำเงินสูงสุดของปี ได้อย่างสง่างาม
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ไม่ได้มาจากรสชาติหวานมันเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลของความร่วมมือระหว่างเกษตรกรท้องถิ่นและกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกันผลักดันให้ “ตรา GI” หรือ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมแกร่งให้กับสินค้าไทย ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่มุ่งยกระดับเศรษฐกิจชุมชนไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัดเติบโตในพื้นที่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในแนวเทือกเขาบรรทัดของจังหวัดตราด ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยดินร่วนและฝนที่ตกชุกจากลมมรสุมธรรมชาติ ประกอบกับแรงลมทะเลที่พัดเข้ามาปะทะ ทำให้สภาพอากาศในพื้นที่นี้เปลี่ยนแปลงเร็ว ความเครียดที่เกิดขึ้นกับต้นทุเรียนจากธรรมชาตินี้เอง กลับกลายเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ต้นออกดอกและให้ผลผลิตก่อนพื้นที่อื่น
ผลลัพธ์คือเนื้อทุเรียนสีเหลืองอ่อน เนื้อแน่น หวานมัน กลิ่นหอมละมุน และเปลือกที่มีหนามแหลมคม ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัดจึงไม่เพียงเป็นผลผลิตของธรรมชาติ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญาเกษตรกรไทยที่รักษาคุณภาพอย่างพิถีพิถัน จนสร้างรายได้กว่า 11,047 ล้านบาท ในปีเดียว
กรมทรัพย์สินทางปัญญาเปิดเผยว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2568 สินค้า GI ไทยกว่า 10 รายการ สามารถสร้างมูลค่ารวมกว่า 46,000 ล้านบาท โดยมี ทุเรียน GI ครอง 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด (ตราด) — 11,047 ล้านบาท
2. ทุเรียนสะเด็ดน้ำยะลา — 6,661 ล้านบาท
3. ทุเรียนหมอนทองระยอง — 4,886 ล้านบาท
ตลาดหลักของทุเรียน GI ไทยอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งให้ความนิยมในรสชาติและคุณภาพของทุเรียนไทยอย่างล้นหลาม สะท้อนศักยภาพของสินค้าเกษตรไทยที่ยืนหยัดในตลาดโลกได้อย่างสง่างาม
นอกจากนั้น ยังมีสินค้า GI อีกหลายรายการที่สร้างมูลค่ามหาศาล เช่น ข้าวหอมมะลิดินภูเขาไฟบุรีรัมย์, มะพร้าวทับสะแก, เหล้าแป้จากจังหวัดแพร่, มะขามหวานเพชรบูรณ์, หอมแดงศรีสะเกษ, กุ้งก้ามกรามบางแพ, และ ทุเรียนบางนรา ซึ่งต่างก็เป็นสินค้าท้องถิ่นที่สะท้อนอัตลักษณ์และคุณภาพอันโดดเด่นของแต่ละภูมิภาค โดยเฉพาะ “เหล้าแป้” ที่เพิ่งขึ้นทะเบียน GI ได้ไม่นาน แต่สามารถพุ่งติดอันดับสินค้าทำรายได้สูงสุดในปีแรกที่ได้รับการรับรอง
ความสำเร็จของสินค้า GI ไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากกลไก “การคุ้มครองและรับรองคุณภาพ” ที่เข้มแข็ง ชื่อและตรา GI กลายเป็นเครื่องการันตีคุณภาพที่ผู้บริโภคเชื่อมั่น สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ถึงแหล่งผลิต และควบคุมมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ผลที่ตามมาคือมูลค่าสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ GI เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2–5 เท่า หลังได้รับการขึ้นทะเบียน
นอกจากนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ยังต่อยอดให้สินค้า GI เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า ตลาดท้องถิ่น และช่องทางออนไลน์ รวมถึงการนำสินค้าเหล่านี้มาสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การพัฒนาเป็นเมนูระดับ Fine Dining, การแปรรูปสินค้าท้องถิ่นให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ และการเชื่อมโยง GI เข้ากับ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและนวัตวิถี
ตัวอย่างเช่น “ทุเรียนหมอนทองระยอง” ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ร่วมออกแบบบรรจุภัณฑ์แนวใหม่ภายใต้แนวคิด “Art of Durian” ถ่ายทอดความสนุกสนานและความเป็นมิตรผ่านงานศิลปะร่วมสมัย ทำให้สินค้าท้องถิ่นดูพรีเมียมและเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนของการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ “GI” กลายเป็นสัญลักษณ์ของสินค้าที่ดี มีคุณภาพ และเชื่อมโยงกับแหล่งกำเนิดอย่างแท้จริง